วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554
ความหมายของนวัตกรรม
นวัตกรรม” หมายถึงความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำ นวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย
“นวัตกรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่ขึ้นมา ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ ”การทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม” แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐอุตสาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph Schumpeter ใน The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถในการเรียนรู้และนำไปปฎิบัติให้เกิดผลได้จริงอีกด้วย (พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ , Xaap.com)
คำว่า “นวัตกรรม” เป็นคำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้ เป็นศัพท์บัญญัติของคณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจากคำกริยาว่า innovate แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คำว่า “นวกรรม” ต่อมาพบว่าคำนี้มีความหมายคลาดเคลื่อน จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กำ) หมายถึงการนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากวิธีการที่ทำอยู่เดิม เพื่อให้ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น ดังนั้นไม่ว่าวงการหรือกิจการใด ๆ ก็ตาม เมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สำหรับผู้ที่กระทำ หรือนำความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้ เรียกว่าเป็น “นวัตกร” (Innovator)
วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554
ความหมายของสื่อการเรียนการสอน
ความหมายของสื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนเป็นตัวกลางซึ่งมีความสำคัญ ในกระบวนการเรียนการสอนมีหน้าที่เป็นตัวนำความต้องการของครูไปสู่ตัวนักเรียนอย่างถูกต้องและรวดเร็ว เป็นผลให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สื่อการสอนได้นำไปใช้ในการเรียนการสอนตลอด และยังได้รับการพัฒนาไปตามการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้ง นักการศึกษาเรียกชื่อการสอนด้วยชื่อต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์การสอน โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยีการศึกษา สื่อการเรียนการสอน สื่อการศึกษาเป็นต้น
สื่อการเรียนการสอนมีประโยชน์สำหรับครูผู้สอนอย่างไร
สื่อการเรียนการสอนสามรถช่วยการเรียนการสอนของครูได้ดีมากซึ่งเราจะเห็นว่าครูนั้นสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้มากทีเดียว แถมยังช่วยให้ครูมีความรู้มากขึ้นในการจัดแหล่งวิทยาการที่เป็นเนื้อหาเหมาะสมแก่การเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายในการสอนช่วยครูในด้านการคุมพฤติกรรมการเรียนรู้และสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนได้มากทีเดียว สื่อการสอนจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมหลายๆรูปแบบ เช่น การใช้ศูนย์การเรียน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสาธิต การแสดงนาฏการ เป็นต้น ช่วยให้ครูผู้สอนได้สอนตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน และยังช่วยในการขยายเนื้อหาที่เรียนทำให้การสอนง่ายขึ้น และยังจะช่วยประหยัดเวลาในการสอน นักเรียนจะได้มีเวลาในการทำกิจกรรมการเรียนมากขึ้นจากข้อมูลเราจะได้เห็นถึงประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน ซึ่งทำให้เรามองเห็นถึงความสำคัญของสื่อสารมีประโยชน์และมีความจำเป็นสามารถช่วยพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
1.สื่อประเภทวัสดุ ได้แก่ สื่อเล็ก ซึ่งทำหน้าที่เก็บความรู้ในลักษณะของภาพเสียง และ อักษรในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้เรียนสามารถใช้เป็นแหล่งหาประสบการณ์ หรือศึกษาได้อย่างแท้จริงและกว้างขวาง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.1วัสดุที่เสนอความรู้ได้จากตัวมันเอง ได้แก่หนังสือเรียนหรือตำราของจริงหุ่นจำลอง รูปภาพ แผนภูมิ แผนที่ ป้ายนิเทศ เป็นต้น
1.2วัสดุที่ต้องอาศัยสื่อประเภทเครื่องกลไก เป็นตัวนำเสนอความรู้ได้แก่ฟิล์มภาพยนตร์ แผ่นสไลด์ ฟิล์มสตริป เส้นเทปบันทึกเทป รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ รายการที่ใช้เครื่องช่วยสอน เป็นต้น
2. สื่อประเภทเครื่องมือ หรือโสตทัศนูปกรณ์ ได้แก่ สื่อใหญ่ ที่เป็ฯตัวกลางหรือทางผ่านของความรู้ ที่ถ่ายทอดไปยังครูและนักเรียน สื่อประเภทนี้ตัวมันเองแทบไม่มีประโยชน์ต่อการสื่อความหมายเลยถ้าไม่มีใครรู้ในรูปแบบต่าง ๆ มาป้อนผ่านเครื่องกลไกลเหล่านี้ สื่อประเภทนี้จึงจำเป็นต้องอาศัยสื่อประเภทวัสดุ บางชนิดเป็นแหล่งความรู้ให้มันส่งผ่าน ซึ่งจะทำให้ความรู้ที่ส่งผ่านมีการเคลื่อนไหวไปสู่นักเรียนจำนวนมาก ได้ไกลๆ และรวดเร็ว และบางทีก็ทำหน้าที่เหมือนครูเสียเอง เช่น เครื่องช่วยสอน ได้แก่เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องบันทึกเสียง เครื่องรับวิทยุ เครื่องฉายภาพนิ่งทั้งหลาย
3.สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ ตัวกลางในกระบวนการเรียนการสอนไม่จำเป็นต้องใช้แต่วัสดุหรือเครื่องมือเท่านั้น บางครั้งจะต้องใช้เทคนิคและกลวิธีต่าง ๆ ควบคู่กันไป โดยเน้นที่เทคนิคและวิธีการเป็นสำคัญ
หลักในการผลิตสื่อ
1. ต้องออกแบบให้ตรงกับจุดมุ่งหมาย เหมาะสมกับผู้เรียน
2. ผลิตโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะนำไปใช้งาน
3. สามารถนำไปใช้ได้ง่าย วิธีการใช้ไม่ยุ่งยาก มีคู่มือประกอบการใช้งาน
4. การสื่อบางประเภทไม่จำเป็นต้องแสดงรายละเอียดมากนัก
5. คำนึงถึงความประหยัดทั้งงบประมาณและเวลาให้เหมาะสม
การผลิตสื่อแต่ละประเภท
1. การประดิษฐ์ตัวอักษร
2. บัตรคำ
3. การผนึกภาพ
4. สมุดลำดับภาพ
5. การขยายภาพ
6. แผนภูมิ
7. แผนสถิติ
8. ภาพโปร่งใส
9. สื่ออิเล็กทรอนิกส์.
การประดิษฐ์ตัวอักษร
การผลิตสื่อจะขาดเสียมิได้เลยคือ การประดิษฐ์ตัวอักษร ไม่ว่าจะใช้ประกอบในการจัดทำบัตรคำ ป้ายนิเทศ ป้ายโฆษณา การเขียนเพื่อประกอบเป็นคำบรรยายต่างๆ ถือได้ว่าเป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับครูธุรกิจ
การประดิษฐ์ตัวอักษรอย่างเหมาะสมจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ทั้งนี้ตัวอักษรที่ประดิษฐ์ต้องมีขนาดพอเหมาะกับระยะในการเรียนรู้ ชัดเจน อ่านง่าย
หลักในการประดิษฐ์ตัวอักษร
1. การเลือกแบบ หรือลักษณะของตัวอักษรที่จะเขียน หัวเรื่อง หรือใจความสำคัญควรจะมีการเน้นรูปแบบ ขนาดที่แตกต่างจากข้อความธรรมดา
2. ขนาดของตัวอักษร ควรสัมพันธ์กับระยะความห่างจากตัวอักษร เช่น ผู้อ่านอยู่ห่าง 4.8 เมตร ตัวอักษรควรจะมีขนาด 1.2 เซนติเมตร
3. ช่องไฟ ต้องคำนึงถึงช่องไฟ เพื่อความสวยงาม ดูเป็นระเบียบ อาจใช้การประมาณด้วยสายตา หรือถือหลักช่องไฟระหว่างตัวอักษรเป็น 1 ใน 3 หรือ 2 ใน 3 ส่วนของตัวอักษร ทั้งนี้ก่อนที่จะประดิษฐ์ตัวอักษร ควรนับจำนวนตัวอักษรเสียก่อน จากนั้นก็หาจุดศูนย์กลาง แล้วจึงลงมือร่างแบบ
การประดิษฐ์ตัวอักษรแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1. การประดิษฐ์อักษรด้วยมือ เช่น ปากกา ดินสอน ปากกาสปีดบอล พู่กัน ชอล์ก ปากกาเมจิ เป็นต้น
2. การประดิษฐ์อักษรด้วยเครื่อง เช่น เครื่องพิมพ์ดีด คอมพิวเตอร์ ตัวอักษรแบบฉลุ ตัวอักษรแบบฝน เป็นต้น
วิธีการประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยมือ
1. กำหนดจุดสองจุดเป็นส่วนสูงของตัวอักษร แล้วใช้ไม้ฉากลากเส้นขนานผ่านทั้ง 2 จุดนั้น
2. ลากเส้นคู่ขนานกันทั้งด้านบนและล่าง เพื่อเป็นขนาดของหัวตัวอักษร
3. แบ่งช่องออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน
4. ใช้เขียนตัวอักษรเพียง 3 ส่วน อีก 1 ส่วน เป็นช่องไฟและกำหนดความหนาของอักษรเป็น 1 ใน 3 ส่วนของขนาดตัวอักษร
วิธีการประดิษฐ์ตัวอักษรแบบฉลุ
1. ร่างแบบตัวอักษรลงบนกระดาษ
2. แล้วจึงตัดโดยใช้ใบมีดคมๆ เอาตัวอักษรออกมา
3. นำตัวอักษรแบบฉลุมาวางบนกระดาษ หรือแผ่นป้ายที่ต้องการ
4. แล้วระบายลงในร่องด้วยหมึก, ใช้การพ่นสีผ่านตัวอักษรแบบฉลุ
บัตรคำ
บัตรคำเป็นสื่อวัสดุที่ทำด้วยกระดาษแข็งให้เป็นบัตรรูปสี่เหลี่ยมที่มีขนาดต่างๆกัน บัตรคำมักจะเขียนเป็นคำๆ หรือเป็นประโยค โดยอาจจะมีรูปประกอบด้วยก็ได้ ตัวอักษรที่เขียนบนบัตรควรจะคำนึงถึงสีและความเหมาะสมด้วย
การผลิตบัตรคำ
1. ตัดกระดาษแข็งให้เป็นบัตรสี่เหลี่ยาตามขนาดและจำนวนที่ต้องการ 2. เขียนตัวอักษรที่ต้องการลงบนบัตรตามความเหมาะสม โดยอาจจะมีรูปภาพประกอบมาปะบนบัตรคำ 3. เมื่อเขียนเสร็จแล้วควรทิ้งไว้ให้แห้ง
การเก็บบัตรคำ เพื่อความเรียบร้อย สะดวกในการนำออกมาใช้งาน ควรเก็บเป็นหมวดหมู่ โดยอาจจะเก็บในกล่องลิ้นชัก ตู้เก็บอุปกรณ์
การผนึกภาพ
การผนึกภาพคือ การเก็บรักษาวัสดุการสอนที่เป็นกระดาษที่ฉีกขาดง่าย โดยการผนึกเข้ากับวัสดุที่แข็งกว่า เช่น ผ้า กระดาษหนา ซึ่งจะช่วยให้ใช้ได้นาน
วัสดุที่จะผนึกคือ ภาพจากนิตยสาร หนังสือพิมพ์ ใบปลิว โปสเตอร์ ซึ่งอาจจะเป็นรูปภาพพิมพ์กระดาษหยาบๆ หรือเป็นภาพลายวาด หรือพิมพ์ ภาพถ่าย อาจจะเป็นภาพสี หรือขาวดำ
วัสดุที่รองผนึกได้ควรเป็นกระดาษแข็ง ซึ่งมีความแข็งปานกลาง มีน้ำหนักเบาและราคาไม่แพง วัสดุอีกอย่างคือ ผ้า ทำให้ง่ายต่อการพับ งอ ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายในการใช้งาน
การผนึกภาพแบ่งได้ 2 ประเภทคือ
1. การผนึกแบบธรรมดา เป็นการผนึกด้วยกาวยางน้ำ แป้งเปียก กาวลาเท็กซ์ เป็นต้น 2. การผนึกแบบใช้ความร้อนช่วย เช่น การผนึกโดยใช้แผ่นเยื่อผนึกแห้ง
วิธีการผนึกด้วยกาวลาเท็กซ์
1. นำกระดานที่มีขนาดพอเหมาะกับภาพที่ต้องการจะผนึก 2. นำภาพที่ต้องการไปแช่น้ำให้ทั่วทั้งภาพประมาณ 10 นาที หรือจนน้ำซึมเข้าทั่วทั้งภาพ3. ทากาวลาเท็กซ์บนกระดาน 4. วางภาพบนกระดานทำให้เรียบ อาจจะใช้ขวดน้ำเกลี้ยงบนภาพให้เรียบ 5. ทากาวบนภาพให้ทั่วอีกครั้ง และทิ้งไว้ให้แห้ง
วิธีการใช้แผ่นเยื่อผนึกแห้ง
1. วางภาพไว้ระหว่างแผ่นเยื่อผนึกแห้ง
2. ใช้กระดาษสะอาดปิดด้านบนของรูปภาพ แล้วสอดรูปภาพและกระดาษรองดังกล่าวเข้าไปในเครื่องอัดภาพ ประมาณ 1 นาที ที่อุณหภูมิความร้อน 225 องศา
3. ได้ภาพผนึกแห้งที่ต้องการ
สมุดลำดับภาพ
สมุดลำดับภาพ เป็นสมุดรวบรวมภาพเป็นชุด แสดงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่มีเนื้อหาติดต่อกันตามลำดับ อาจเป็นนิทาน เรื่องสั้นสำหรับเด็ก หรือเนื้อหาที่เป็นลำดับขั้นตอน เช่น วิธีการเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต, ขั้นตอนในการเข้าพบลูกค้า เป็นต้น
สมุดลำดับภาพ อาจใช้การผนึกภาพ หรือเขียนลงบนกระดาษ , ผ้าก็ได้ วิธีการใช้รูปภาพผนึกลงบนกระดาษ หรือผ้า
1. พิจารณาเนื้อหาว่าจุดไหนเป็นจุดสำคัญของเรื่อง ควรเสนอเป็นภาพ 2. รวบรวมภาพ แยกหมวดหมู่ของภาพให้เข้ากับเนื้อหาที่วางไว้ 3. เขียนหมายเลขตามลำดับภาพ เพื่อกันภาพสลับกัน 4. ผนึกภาพบนกระดาษ หรือผ้า ถ้ามีคำอธิบายใต้ภาพ ก่อนผนึกควรคำนึงถึงเนื้อที่ข้างล่างของภาพไว้สำหรับคำบรรยาย 5. เขียนคำบรรยายใต้ภาพด้วยภาษาที่ง่าย กะทัดรัดได้ใจความ 6. ตรวจดูควรเรียบร้อย และการลำดับภาพก่อนเข้าเล่ม
การขยายภาพ
การขยายภาพจะช่วยทำให้ภาพที่ต้องการซึ่งมีขนาดเล็กให้ใหญ่ขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการสอน หรือจัดแสดงได้ง่ายขึ้น การขยายภาพยังทำให้เห็นส่วนประกอบของภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การขยายภาพแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. การใช้เครื่องมือขยายภาพ เช่น เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ, เครื่องขยายภาพแผนที่, เครื่องฉายสไลด์ เป็นต้น
2. การขยายภาพแบบตาราง
วิธีการขยายภาพโดยใช้เครื่องฉายข้ามศีรษะ
1. วางกระดาษวาดเขียนติดกับผนังโดยใช้สก๊อตเทป 2. เปิดสวิทซ์เครื่องฉาย แล้ววางแผ่นโปร่งใส 3. ปรับขนาดและความคมชัดของภาพ 4. เมื่อภาพคมชัดดีแล้ว ลงมือร่างภาพตามต้องการ
วิธีการขยายภาพโดยวิธีเขียนตาราง
1. ตีกรอบสี่เหลี่ยมรอบภาพ อาจเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมของภาพ
2. แบ่งด้านทุกด้านออกเป็นส่วนๆส่วนละเท่าๆกัน พร้อมทั้งเขียนหมายเลขกำกับจากน้อยไปหามาก ด้านตรงข้ามจะมีหมายเลขตรงกัน ลากเส้นระหว่างจุดของด้านตรง จะได้ตารางออกมา
3. นำกระดาษวาดเขียนมาตีกรอบสี่เหลี่ยม ทำเหมือนข้อ 2 แต่การแบ่งส่วนของแต่ละด้านต้องมีขนาดใหญ่กว่าเดิม
4. ใช้ดินสอวาดภาพบนกระดาษเบาๆ สังเกตเส้นของภาพเดิมว่ามีความสัมพันธ์กับเส้นตารางอย่างไร หมายเลขที่กำกับจุดและเส้นจะเป็นเครื่องช่วยในการวาดรูปให้ถูกตำแหน่ง
5. แต่งเติมเส้นให้ชัดเจนด้วยหมึก หรือสีตามความต้องการ
แผนภูมิ
แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริง หรือแนวความคิดต่างๆ เป็นการแสดงเปรียบเทียบ แสดงพัฒนาการของขบวนการ แสดงโครงสร้างขององค์กร ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าใจได้ง่าย โดยทำเป็นแผ่นภาพซึ่งประกอบด้วยรูปภาพ สัญลักษณ์ต่างๆและตัวหนังสือ
แผนภูมิมีหลายประเภทเช่น แผนภูมิต้นไม้ แผนภูมิแบบต่อเนื่อง แผนภูมิแบบเปรียบเทียบ แผนภูมิแบบองค์กร แผนภูมิอธิบายภาพ แผนภูมิแบบวิวัฒนาการ แผนภูมิแบบตาราง การผลิตแผนภูมิสามารถใช้การวาด หรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการสร้างก็ได้
แผนสถิติ
ใช้เสนอข้อมูลที่เป็นจำนวนเลข แผนสถิติจะแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล เช่น แนวโน้ม ความเปลี่ยนแปลง การเปรียบเทียบ การแสดงข้อมูลในรูปแบบของสถิติจะทำให้ ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้รวดเร็วและน่าสนใจ
แผนสถิติมีหลายประเภท เช่น แผนสถิติแบบพื้นที่ แผนสถิติแบบแท่ง แผนสถิติแบบรูปภาพ แผนสถิติแบบวงกลมและแผนสถิติแบบเส้น การใช้แผนสถิติขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับเนื้อหา ซึ่งควรศึกษาข้อดี - ข้อเสียเพื่อเลือกใช้ให้ถูกต้อง
การผลิตแผนสถิติสามารถใช้การวาดภาพ ปะกระดาษสี หรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสร้างก็ได้
ภาพโปร่งใส
ภาพโปร่งใส เป็นแผนสไลด์ขนาดใหญ่ใช้กับเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ สามารถใช้ได้กับทุกกลุ่มวัย ภาพโปร่งใสสามารถแสดงความคิดรวบยอด ขบวนการ ข้อเท็จจริง หัวข้อได้ ทั้งนี้ในระดับวัยเด็ก สามารถสร้างแผนโปร่งใสเคลื่อนไหว เพื่อดึงดูดความสนใจได้อีกด้วย
การผลิตแผ่นโปร่งใสเคลื่อนไหว
1. ทำขอบติดแผนโปร่งใส
2. วาดภาพ หรือข้อความที่ต้องการลงบนแผ่นโปร่งใส
3. ตัดกระดาษแข็งให้พอดีกับคำที่ต้องการจะปิดไว้ แล้วติดกระดาษแข็งกับกรอบของแผ่นโปร่งใสด้วยสก๊อตเทป
ทั้งนี้แผ่นโปร่งใสยังสามารถนำไปผลิตได้อีกหลายรูปแบบ เช่น สามารถดึงขึ้นลงได้ หรือตัดแผ่นโปร่งใสเป็นรูปคนใช้ในการเล่าเรื่อง สนทนาก็ได้
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
สื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นสื่อที่มีความทันสมัย ในปัจจุบันสื่ออิเล็กทรอนิกส์นี้เป็นนิยมมากขึ้น เพราะสามารถลดข้อบกพร่องต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านเวลาและสถานที่ ผู้เรียนยังสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ใช้ในการทบทวน นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนในการซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการผลิตสื่อ อีกทั้งสื่ออิเล็กทรอนิกส์นี้ยังสามารถดึงดูดใจผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
การผลิตสื่ออิเล็กทรอนิกส์
1. กำหนดเรื่องที่ต้องการจะผลิต ควรจะเป็นเรื่องที่มีความถนัด ความเข้าใจ และมีความน่าสนใจ 2. ศึกษาและรวบรวมข้อมูล รวบรวมข้อมูลที่หลากหลายโดยที่ข้อมูลควรจะต้องมีความทันสมัย นอกจากรวบรวมข้อมูลแล้วก็ยังต้องมีการกำหนดหัวข้อเรื่องที่จะจัดทำ และต้องศึกษากลุ่มผู้เรียน 3. กำหนดขอบเขตของงานก่อนว่าต้องการจะนำเสนอเนื้อหาให้เป็นไปในลักษณะใด ครอบคลุมเนื้อหามากน้อยเพียงใด 4. กำหนดรูปแบบ วางโครงสร้างของสื่อว่าต้องการให้มีส่วนประกอบอะไรบ้าง เช่น ส่วนของเนื้อหา แบบทดสอบและเกมการศึกษา เป็นต้น เน้นที่เนื้อหาหรือรูปภาพให้เหมาะสมกับผู้เรียนและสามารถดึงดูดความสนใจ 5. จัดทำStory board เป็นการร่างโครงสร้างของการจัดทำสื่อทั้งหมด กำหนดการเชื่อมโยงแต่ละหน้าเข้าด้วยกัน การทำStory board ก่อนจะทำให้สะดวกในการผลิต 6. จัดทำสื่อโดยเลือกโปรแกรมที่มีความสามารถในการจัดทำตามเนื้อหาใน Story board ที่ได้วางโครงสร้างไว้ เพราะแต่ละโปรแกรมจะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของโปรแกรม
สื่อการเรียนการสอนจำแนกตามประสบการณ์
1. ประสบการณ์ตรงและมีความมุ่งหมาย ประสบการณ์ขั้นนี้ เป็นรากฐานสำคัญของการศึกษาทั้งปวง เป็นประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับมาจากความเป็นจริงและด้วยตัวเองโดยตรง ผู้รับประสบการณ์นี้จะได้เห็น ได้จับ ได้ทำ ได้รู้สึก และได้ดมกลิ่นจากของจริง ดังนั้นสื่อการสอนที่ไห้ประสบการณ์การเรียนรู้ในขั้นนี้ก็คือของจริงหรือความเป็นจริงในชีวิตของคนเรานั่นเอง
2. ประสบการณ์จำลอง เป็นที่ยอมรับกันว่าศาสตร์ต่างๆ ในโลก มีมากเกินกว่าที่จะเรียนรู้ได้หมดสิ้นจากประสบการณ์ตรงในชีวิต บางกรณีก็อยู่ในอดีต หรือซับซ้อนเร้นลับหรือเป็นอันตรายไม่สะดวกต่อการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จึงได้มีการจำลองสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมาเพื่อการศึกษา ของจำลองบางอย่างอาจจะเรียนได้ง่ายกว่าและสะดวกกว่า
3. ประสบการณ์นาฏการ ประสบการณ์ต่าง ๆ ของคนเรานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่สามารถประสบได้ด้วยตนเอง เช่น เหตุการณ์ในอดีต เรื่องราวในวรรณคดี การเรียนในเรื่องที่มีปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ หรือเรื่องธรรมชาติที่เป็นนามธรรม การแสดงละครจะช่วยไปให้เราได้เข้าไปใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด เช่น ฉาก เครื่องแต่งตัว เครื่องมือ หุ่นต่าง ๆ เป็นต้น
4. การสาธิต การสาธิตคือ การอธิบายถึงข้อเท็จจริงหรือแบ่งความคิด หรือกระบวนการต่าง ๆให้ผู้ฟังแลเห็นไปด้วย เช่น ครูวิทยาศาสตร์เตรียมก๊าซออกซิเจนให้นักเรียนดู ก็เป็นการสาธิต การสาธิตก็เหมือนกับนาฏการ หรือการศึกษานอกสถานที่ เราถือเป็นสื่อการสอนอย่างหนึ่ง ซึ่งในการสาธิตนี้อาจรวมเอาสิ่งของที่ใช้ประกอบหลายอย่าง นับตั้งแต่ของจริงไปจนถึงตัวหนังสือ หรือคำพูดเข้าไว้ด้วย แต่เราไม่เพ่งเล็งถึงสิ่งเหล่านี้ เราจะให้ความสำคัญกับกระบวนการทั้งหมดที่ผู้เรียนจะต้องเฝ้าสังเกตอยู่โดยตลอด
5. การศึกษานอกสถานที่ การพานักเรียนไปศึกษานอกสถานที่ เป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตเพื่อให้นักเรียนได้เรียนจากแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ที่มีอยู่จริงภายนอกห้องเรียน ดังนั้นการศึกษานอกสถานที่จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นสื่อกลางให้นักเรียนได้เรียนจากของจริง
6. นิทรรศการ นิทรรศการมีความหมายที่กว้างขวาง เพราะหมายถึง การจัดแสดงสิ่งต่างๆเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ชม ดังนั้นนิทรรศการจึงเป็นการรวมสื่อต่าง ๆ มากมายหลายชนิด การจัดนิทรรศการที่ให้ผู้เรียนมามีส่วนร่วมในการจัด จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสคิดสร้างสรรค์มีส่วนร่วม และได้รับข้อมูลย้อนกลับด้วยตัวของเขาเอง
7. โทรทัศน์และภาพยนตร์ โทรทัศน์เป็นสื่อการสอนที่มีบทบาทมากในปัจจุบัน เพราะได้เห็นทั้งภาพและได้ยินเสียงในเวลาเดียวกัน และยังสามารถแพร่และถ่ายทอดเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ด้วย นอกจากนั้นโทรทัศน์ยังมีหลายรูปแบบ เช่น โทรทัศน์วงจรปิด ซึ่งโรงเรียนสามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีโทรทัศน์วงจรปิด ที่เอื้อประโยชน์ต่อการศึกษาอย่างกว้างขวาง ภาพยนตร์เป็นสื่อที่จำลองเหตุการณ์มาให้ผู้ชมหรือผู้เรียนได้ดูและได้ฟังอย่างใกล้เคียงกับความจริง แต่ไม่สามารถถ่ายทอดเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ ถึงอย่างไรก็ตามภาพยนตร์ก็ยังนับว่าเป็นสื่อที่มีบทบาทมากในการเรียนการสอน เช่นเดียวกันกับโทรทัศน์
8. ภาพนิ่ง การบันทึกเสียง และวิทยุ ภาพนิ่ง ได้แก่ ภาพถ่าย ภาพวาดซึ่งมีทั้งภาพทึบแสงและโปร่งแสง ภาพทึบแสงคือรูปถ่าย ภาพวาด หรือภาพในสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ส่วนภาพนิ่งโปร่งใสหมายถึงสไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพโปร่งใสที่ใช้กับเครื่องฉายวัสดุโปร่งใส เป็นต้น ภาพนิ่งสามารถจำลองความเป็นจริงมาให้เราศึกษาบนจอได้ การบันทึกเสียง ได้แก่ แผ่นเสียงและเครื่องเล่นแผ่นเสียง เทปและเครื่องบันทึกเสียง และเครื่องขยายเสียงตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเสียงซึ่งนอกจากจะสามารถนำมาใช้อย่างอิสระในการเรียนการสอนด้วยแล้ว ยังใช้กับรายการวิทยุและกิจกรรมการศึกษาอื่น ๆ ได้ด้วย ส่วนวิทยุนั้น ปัจจุบันที่ยอมรับกันแล้วว่า ช่วยการศึกษาและการเรียนการสอนได้มาก ซึ่งไม่จำกัดอยู่แต่เพียงวิทยุโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงวิทยุทั่วไปอีกด้วย
9. ทัศนสัญลักษณ์ สื่อการสอนประเภททัศนสัญญลักษณ์นี้ มีมากมายหลายชนิด เช่น แผนภูมิแผนภาพ แผนที่ แผนผัง ภาพโฆษณา การ์ตูน เป็นต้น สื่อเหล่านี้เป็นสื่อที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์สำหรับถ่ายทอดความหมายให้เข้าใจได้รวดเร็วขึ้น
10.วจนสัญลักษณ์ สื่อขั้นนี้เป็นสื่อที่จัดว่า เป็นขั้นที่เป็นนามธรรมมากที่สุด ซึ่งได้แก่ตัวหนังสือหรืออักษร สัญลักษณ์ทางคำพูดที่เป็นเสียงพูด ความเป็นรูปธรรมของสื่อประเภทนี้จะไม่คงเหลืออยู่เลย อย่างไรก็ดี ถึงแม้สื่อประเภทนี้จะมีลักษณะที่เป็นนามธรรมที่สุดก็ตามเราก็ใช้ประโยชน์จากสื่อประเภทนี้มาก เพราะต้องใช้ในการสื่อความหมายอยู่ตลอดเวลา
สื่อการเรียนการสอนจำแนกตามคุณสมบัติ
Wilbure Young ได้จัดแบ่งไว้ดังนี้
1. ทัศนวัสดุ (Visual Materials) เช่น กระดานดำ กระดานผ้าสำลี) แผนภูมิ รูปภาพ ฟิล์มสตริป สไลด์ ฯลฯ
2. โสตวัสดุ (Audio Materisls ) เช่น เครื่องบันทึกเสียง (Tape Recorder) เครื่องรับวิทยุ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ระบบขยายเสียง ฯลฯ
3. โสตทัศนวัสดุ (Audio Visual Materials) เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ
4. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Equipments) เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายฟิล์มสตริปเครื่องฉายสไลด์
5. กิจกรรมต่าง ๆ (Activities )เช่น นิทรรศการ การสาธิต ทัศนศึกษา ฯลฯ
สื่อการเรียนการสอนจำแนกตามรูปแบบ(Form)Louis Shores ได้แบ่งประเภทสื่อการสอนตามแบบไว้ ดังนี้
1. สิ่งตีพิมพ์ (Printed Materials) เช่น หนังสือแบบเรียน เอกสารการสอน ฯลฯ
2 วัสดุกกราฟิก เช่น แผนภูมิ ( Charts) แผนสถิติ (Graph) แผนภาพ (Diagram) ฯลฯ
3. วัสดุฉายและเครื่องฉาย (Projected Materials and Equipment) เช่น ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ
4. วัสดุถ่ายทอดเสียง (Transmission) เช่น วิทยุ เครื่องบันทึกเสียง
สื่อการเรียนการสอนตามลักษณะและการใช้
1. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Hardware)
2. วัสดุ (Software)
3. เทคนิคหรือวิธีการ (Techinques or Methods)
คุณค่า และประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน
1. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
1.1 เรียนรู้ได้ดีขึ้นจากประสบการณ์ที่มีความหมายในรูปแบบต่างๆ
1.2 เรียนรู้ได้อย่างถูกต้อง
1.3 เรียนรู้ได้ง่ายและเข้าใจได้ชัดเจน
1.4 เรียนรู้ได้มากขึ้น
1.5 เรียนรู้ได้ในเวลาที่จำกัด
2. ช่วยให้สามารถเอาชนะข้อจำกัดต่าง ๆ ในการเรียนรู้ ได้แก่
2.1 ทำสิ่งนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
2.2 ทำสิ่งซับซ้อนให้ง่ายขึ้น
2.3 ทำสิ่งเคลื่อนไหวช้าให้เร็วขึ้น
2.4 ทำสิ่งเคลื่อนไหวเร็วให้ช้าลง
2.5 ทำสิ่งเล็กให้ใหญ่ขึ้น
2.6 ทำสิ่งใหญ่ให้เล็กลง
2.7 นำสิ่งที่อยู่ไกลมาศึกษาได้
2.8 นำสิ่งที่เกิดในอดีตมาศึกษาได้ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้
2.9 ช่วยให้จดจำได้นาน เกิดความประทับใจและมั่นใจในการเรียน
2.10 ช่วยให้ผู้เรียนได้คิดและแก้ปัญหา
2.11 ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล
คุณค่าของสื่อการเรียนการสอนการเรียนการสอน
1.สื่อการเรียนการสอนสามารถเอาชนะข้อจำกัดเรื่องความแตกต่างกันของประสบการณ์ดั้งเดิมของผู้เรียน คือเมื่อใช้สื่อการเรียนการสอนแล้วจะช่วยให้เด็กซึ่งมีประสบการณ์เดิมต่างกันเข้าใจได้ใกล้เคียงกัน
2.ขจัดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ ประสบการณ์ตรงบางอย่าง หรือการเรียนรู้
3.ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมและสังคม
4.สื่อการเรียนการสอนทำให้เด็กมีความคิดรวบยอดเป็นอย่างเดียวกัน
5.ทำให้เด็กมีมโนภาพเริ่มแรกอย่างถูกต้องและสมบูรณ์
6.ทำให้เด็กมีความสนใจและต้องการเรียนในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น เช่นการอ่าน ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ทัศนคติ การแก้ปัญหา ฯลฯ
7.เป็นการสร้างแรงจูงใจและเร้าความสนใจ
8.ช่วยให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์จากรูปธรรมสู่นามธรรม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)